29 พฤศจิกายน 2554

หลิวเซี๊ยะหัว (ซูสีไทเฮา 1984)


















นำแสดงโดย
หลิวเซี๊ยะหัว , อู่เหว่ยกั๊วะ , หลิวหย่ง
สตรีที่ทรงอำนาจเหนือชีวิตคนจีน สตรีที่มีประวัติพิสดารที่สุดคนหนึ่งของโลก 47 ปี ที่เธอปกครองอยู่ มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายหลากหลาย น่าติดตามชมมากคับ เป็นหนังเก่าแต่น่าดู และสะสมจริง ๆ ครับ ดูเรื่องนี้แล้วเหมือนเรียนประวัติศาสตร์จีนไปด้วย สนุกดีคับ

รายละเอียด
"ภาพยนตร์ชุดนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงการว่าราชการหญิงคนหนึ่งของจีน คือ พระนางซูสี ที่คอยบงการเปรียบเสมือนเป็นจักรพรรดิเงาของจีนในยุคราชวงศ์ชิง (เช็ง) ที่คอยอยู่เบื้องหลังและว่าราชการหลังม่านองค์ฮ่องเต้ ""พระนางซูสี"" ได้ใช้ความฉลาดเฉลี่ยวปกครองราชวงศ์ชิง (เช็ง) มายาวนานนับถึงการปกครองราชวงศ์ชิง (เช็ง) มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองซึ่งเป็นชาวต่างชาติต่อประเทศจีนระยะเวลา 268 ปี
ความเป็นมาของ ""พระนางซูสีไทเฮา"" ประวัติเดิมนางเกิดในตำบลหนึ่งในตระกูลเยโฮนาลา ได้รับการคัดเลือกสาวงามเข้าวังและได้เป็นหญิงโปรดของฮ่องเต้เซียนเฟงในสมัยราชวงศ์ชิง (เช็ง) ครองราชย์ปี พ.ศ. 2394-2404 (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 4 กรุงรัตนโกสินทร์) เมื่อเข้าอยู่ในวังได้เป็นสนมโปรดช่วยราชการฮ่องเต้ทรงเซ็นหนังสือราชการ และรู้เกี่ยวกับราชการงานเมืองเป็นอย่างดี และได้มีราชโอรสกับพระเจ้าเซียนเฟงปี พ.ศ. 2399 และนี่ก็คือจุดเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ชิงที่เกิดขึ้นและเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก เพราะในยุคสมัยนั้นอังกฤษและฝรั่งเศสได้มีบทบาทเข้ามายึดการปกครองที่รู้จักกันดีในยุค ""สงครามฝิ่น"" กับจีนในปี พ.ศ. 2404 ฮ่องเต้เซียนเฟงประชวรและสิ้นพระชนม์ตามประเพณีของราชวงศ์ชิง คณะผู้สำเร็จราชการต้องเฉลิมพระนามแด่พระราชินี และนางเยโฮนาลาว่าเป็นพระราชินีหม้าย (Empress Dowager) นางเยโฮนาลาได้พระนามว่า ""ซูสีแปลว่า พระมารดาแห่งความเจริญรุ่งเรือง"" และในยุคปัจจุบันได้มีสถานที่เป็นสถานโบราณทางประวัติศาสตร์เช่น พระราชวังฤดูร้อนอีเหอหยวนซึ่งใช้เป็นที่ประทับและว่าราชการหลังม่านของพระนางซูสีไทเฮา ตั้งอยู่ตอนเหนือกรุงปักกิ่ง

ภาพยนตร์ชุดนี้ได้ถ่ายทอดการแสดงการบริหารงานสำเร็จราชการของพระนางซูสีไทเฮาไว้อย่างละเอียดในชุดนี้ผู้เล่นเป็นพระนางซูสีไทเฮาคือ ""หลิวเซียะหัว""" 

 
    

  


25 พฤศจิกายน 2554

อดีตถึงปัจุบัน..คึดถึงใครดูเลยครับ

หมี่เซี๊ยะ

หวีอันอัน

เจ้าหย่าจือ

หลิวเซียะหัว

หลี่เยื่ยนซัน

ฝงเป๋าเป่า

เจิ้นเส้าชิว

หลิวสงเหยิน

หลิงหย่ง

ขวา หัวเย่อหัว..

18 พฤศจิกายน 2554

"สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์" หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "นิ้วกลม"


อ่านชีวิตในมุมที่อบอุ่นของผู้ชายอารมณ์ดีชื่อ "นิ้วกลม"
 หากเอ่ยถึง "สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์" คงไม่มีใครรู้จักผู้ชายคนนี้กันดีเท่ากับชื่อ "นิ้วกลม" นามปากกาสุดฮิปที่เริ่มจากนามจอ (นามปากกาที่ใช้ในเว็บบอร์ดคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ) จนบานปลายกลายมาเป็นชื่อแทนตัวตนที่ทำให้ผู้อ่านหลาย ๆ คนหลงใหล และคลั่งใคล้ในงานเขียนของเขา
      
       ทั้งผลงานในนิตยสารอะเดย์ที่รวมเล่ม และตีพิมพ์เป็นบันทึกการเดินทางสร้างชื่ออย่างโตเกียวไม่มีขา กัมพูชาพริบตาเดียว เนปาลประมาณสะดือ สมองไหวในฮ่องกง และนั่งรถไฟไปตู้เย็น นอกจากนี้ยังมีนวนิยายมีมือ ผม, มิราคามิ รวมไปถึงความเรียงเรื่องอิฐ ณ. เพลงรักประกอบชีวิต และอาจารย์ในร้านคุกกี้
      
       แต่กว่าจะพาตัวเองมาเป็นนักเขียนจนมีผลงานที่สร้างแรงบันดาลใจ และกลายเป็นนักเขียนในดวงใจของใครหลาย ๆ คนนั้น สิ่งที่คนจำนวนไม่น้อยอาจยังไม่ทราบก็คือ ความอบอุ่น ความเข้าใจ และสายใยรักภายในครอบครัว อันเป็นที่มาของพลังในตัวหนังสือที่ถูกส่งผ่านไปยังสายตาผู้อ่านทุก ๆ ท่าน

ผู้ชายอารมณ์ดีผู้สร้างโลกสวย ๆ ผ่านตัวหนังสือในวัย 33 ปีคนนี้ เล่าว่า เขาเติบโตในครอบครัวที่พ่อกับแม่เปิดร้านขายของชำ มีพี่สาว 2 คน คนหนึ่งเป็นเภสัชกร ส่วนอีกคนเป็นเจ้าของร้านสุกี้ ทั้งเขาและพี่สาวถูกเลี้ยงดูแบบให้อิสระในการคิด แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ และมีความรับผิดชอบต่อการเรียนควบคู่ไปด้วย
      
       
"ความเป็นผู้เป็นคนของผม พูดได้เต็มปากเลยว่า ผมได้มาจากพ่อ (หัวเราะ) เพราะพ่อจะคอยคุมให้อยู่ในระเบียบ และค่อนข้างมีหลักการ ส่วนความละเอียดอ่อนและความอ่อนโยนผมได้จากแม่เยอะมาก ๆ เพราะแม่จะเป็นผู้หญิงที่รักธรรมชาติ และรักสัตว์ ทุกวันนี้แม่จะเลี้ยงจิ้งจกไว้บนโต๊ะทานข้าว (หัวเราะ) เจอคางคกก็ไม่ไล่ หรือบางครั้งเห็นกระรอก เห็นนกก็ชอบแอบเอาอาหารไปให้"
      
       ดังนั้นคุณแม่ในความหมายของเขาจึงเป็นโลกของความฝัน ส่วนคุณพ่อคือโลกของความเป็นจริง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าคุณพ่อก็คือส่วนของเหตุผล คุณแม่ก็คือส่วนทางอารมณ์ และจินตนาการนั่นเอง
      
       
"คนเราต้องใช้อารมณ์ในการคิดสิ่งต่าง ๆ ให้มันสวยงาม ในขณะเดียวกันก็ต้องใช้เหตุผลในการควบคุม และผลิตสิ่งที่ตั้งใจจะทำ หรืออยากถ่ายทอดมันออกมา ทั้งสองสิ่งนี้คือส่วนผสมที่ผมได้มันมาจากพ่อกับแม่ ซึ่งมันอยู่ในตัวผม และอยู่ในงานเขียนของผมด้วย"
      
       หากใครได้เคยอ่านงานเขียนของนิ้วกลม เราจะพบกับพลังของตัวหนังสือที่ให้แง่คิด และสามารถกระตุ้นให้คนอื่น ๆ มีแรงพลังที่จะคิด และทำอะไรดี ๆ ได้มากมาย ซึ่งพลังของตัวหนังสือนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่วนสำคัญมาจากครอบครัวที่คอยสร้างโลกอันสวยงามให้แก่เขา


"ครอบครัวมีผลอย่างมากต่อทัศนคติในการมองโลกของผม เพราะผมรู้สึกว่า ครอบครัวไม่ทำร้ายผม อยู่บ้านแล้วรู้สึกปลอดภัยว่างั้นเถอะ เวลาออกมาสู่โลกนอกบ้าน ผมจึงไม่กลัวเท่าไร เพราะผมรู้อยู่แล้วว่า เรามีเบาะนิ่ม ๆ รออยู่ที่บ้าน ถ้าพลัดตก หรือทำอะไรผิดพลาด อย่างน้อย ๆ เราก็มีเบาะนิ่ม ๆ ใบนี้รองรับเราอยู่ แต่ถ้าในบ้านมันแหว่ง หรือมีอันตราย ผมมองว่า เราจะระแวงโลกมากกว่านี้ บางคนอาจมองโลกในแง่ร้ายไปเลยก็มี แต่ผมโชคดีที่บ้านผมไม่ใช่อย่างนั้น"
      
       "โดยเฉพาะแม่ เธอเป็นซูเปอร์เบาะมาก ๆ ไม่ว่าเราจะเจออะไร หรือผิดพลาดอะไร เราก็ถูกไปหมดสำหรับแม่ (หัวเราะ) อย่างถูกผู้หญิงหักอก แม่ก็จะปลอบใจว่า อย่าไปสนใจเขาเลย ซึ่งความรักของแม่ในความรู้สึกของผมตรงกับเพลง ๆ หนึ่งของ Projects H ซึ่งเนื้อร้องว่า...ต่อให้ใครไม่รัก ต่อให้ใครไม่สน แต่อยากจะขอให้เธออดทน ไม่ต้องไปหวั่นไหว ต่อให้ดาวหมดฟ้า ต่อให้คนทั้งโลกไม่เข้าใจแต่รู้ไว้อย่างได้ไหม ว่าฉันนั้นรักเธอ...นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกได้ว่า แม่มีให้ผมมาโดยตลอด" นิ้วกลมเผยความรู้สึกถึงแม่
      
       ถึงแม้ว่าแววในการเป็นนักเขียนจะไม่ได้เฉิดฉายมาตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยความสนใจในงานเขียน ทำให้เขาเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้นตอนเรียนคณะสถาปัตยกรรม จุฬาฯ โดยต้นเริ่มจากหนังสือของเพื่อนเรื่อง The Neverending story เรื่อยมาจนเป็นวรรณกรรม และนิตยสาร A day, Summer Open ที่ทำให้เขามีไฟ และอยากเขียนหนังสือดี ๆ เพื่อสร้างโลกแห่งความจริงที่สวยงามขึ้นมา


 "ผมมีความสุขทุก ๆ ครั้งที่ได้เขียน ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดี เพราะงานเขียนเป็นงานที่ทำให้ผมได้ทบทวนความคิด ทบทวนตัวเอง ทำให้เราเข้าใจตัวเอง แต่สิ่งที่โชคดีกว่านั้นก็คือ มีคนเขาอ่านงานของเรา แล้วเขาบอกเราว่า อ่านแล้วรู้สึกดีจังเลย หรือบางคนก็บอกว่า อ่านแล้วคิดอะไรได้เยอะเลย อ่านแล้วหายทุกข์ ซึ่งเราฟังแล้วก็รู้สึกดีมาก ๆ ครับ" นิ้วกลมกล่าวด้วยความภูมิใจ
      
       ดังนั้น สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในการเขียนหนังสือไม่ใช่การสร้างโลกในจินตนาการ แต่เป็นการสร้างโลกสวย ๆ ในความจริงขึ้นมา นี่คือสิ่งที่ "นิ้วกลม" ได้พิสูจน์ให้เห็นผ่านงานเขียนหลาย ๆ เล่มของเขาที่สามารถกระตุ้นให้คนอ่านมีพลังที่จะคิดและทำอะไรดี ๆ หลายอย่าง ซึ่งคงไม่เกินไปนัก ถ้าจะบอกว่า พลังในงานเขียนส่วนหนึ่ง เขาได้มันมาจากผู้อ่าน และที่สำคัญมันมาจากความรัก ความเข้าใจ และความอบอุ่นในครอบครัวด้วย

"ความหมายของคนคนหนึ่ง คือความหมาย และคำตอบของการที่ว่า ทำไมเราต้องอยู่บนโลกต่อไป ผมว่าจริง ๆ แล้วคนเราโคตรไม่มีเหตุผลในการต้องอยู่เลย พรุ่งนี้จะตายไปก็ได้ มันไม่ได้กระทบอะไรต่อโลกใบนี้เลย แต่คำตอบของการที่เราต้องอยู่สำหรับผมก็คือ เพราะเราจะได้อยู่ด้วยกันไง ได้อยู่กับพ่อแม่ที่เรารัก เพราะถ้าไม่มีเรา เขาก็จะรู้สึกขาดหาย เช่นเดียวกัน ถ้าเราไม่มีเขา เราก็รู้สึกขาดหายเหมือนกัน"
      
       "ดังนั้น ตอนเราอยู่ด้วยกัน เราไม่รู้หรอกว่ามันสำคัญขนาดไหน แต่เวลาที่เราต้องการใครสักคน ครอบครัวคือสิ่งมาตอบตรงนั้นได้ และอาจคิดไปได้กว้างกว่านั้น คือ ถ้าตัวเราสามารถให้ความรัก และทำตัวให้มีคุณค่ากับผู้อื่นเหมือนที่พ่อกับแม่ทำกับเรา มันก็คงจะดี เพราะมันทำให้เรามีเหตุผลที่จะตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่า เราก็หายใจต่อไปได้ หรือเรามีความหมายต่อคนอื่นอยู่เหมือนกันนะ" นิ้วกลมเผย
      
       
ถึงวันนี้ นิ้วกลมผันตัวเองจากนักเขียนประจำ และผู้กำกับโฆษณามาทำงานอิสระ ทั้งเขียนคอลัมน์ บทความ และเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ทางช่องไทยพีบีเอส (รายการพื้นที่ชีวิต กับรายการเป็นอยู่คือ) ทำให้เขามีเวลากับครอบครัว และคนรักมากขึ้น
      
       
"ทุก ๆ เช้า ผมจะลงมาทานกาแฟกับพ่อแม่ และคุยกันมากขึ้น อย่างน้อย ๆ ผมจะหาเวลาสักวันเจอกันตอนเช้าแล้วกลับมาทานข้าวเย็นร่วมกันในครอบครัว เพราะผมรู้สึกว่า หน้าต่างของเขาก็คือลูก เขาก็อยู่กับชีวิตเดิม ๆ ของเขา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำชีวิตเขาให้มีสีสันและไม่น่าเบื่อก็คือ เรื่องที่ลูกคาบมาเล่าให้เขาฟัง ถึงแม้ว่าบางเรื่องจะเป็นเรื่องทุกข์ใจของลูก แต่มันก็เป็นเรื่องที่พ่อกับแม่ยินดีรับฟังเราเสมอ" นิ้วกลมทิ้งท้ายถึงความสุขที่ได้ใช้เวลากับครอบครัว