อย่างไรก็ตาม สำหรับแฟนหนังแล้วคงไม่มีใครปฏิเสธว่า จอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรมที่เป็นฮีโร่โลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิล์มเก่าๆพวกนี้ก็เป็นส่วนสำคัญในตำนานนั้นด้วย ถึงแม้วันนี้ชื่อของพวกเขาจะห่างหายไปจากวงการบันเทิงจีน(บ้านเรา)หลายปีแล้ว แต่เชื่อว่าแฟนหนังจอมยุทธ์ทั้งหลายคงไม่มีทางลืมลีลาของพระเอกหนังเหนียว เช่น หวังหยู่ ( หวังอี่ว์ 王羽 ) บรู๊ซ ลี ( หลีเสี่ยวหลง 李小龙 ) ตี้หลุง ( ตี๋หลง 狄龙 ) หรือ เดวิด เจียง ( เจียงต้าเหว่ย 姜大伟 ) ได้เลย
สัปดาห์นี้ ‘หมิงซิง คลับ’ ขอย้อนยุคนำเกร็ดชีวิตดาราหน้าเก่าที่เคยโด่งดังรุ่นสมัยอาแปะยังหนุ่มมาแนะนำเสียหน่อย เพื่อให้เข้ากับกระแสที่ปีนี้เป็นปีครบ 100 ปีกำเนิดภาพยนตร์จีน และเอาใจแฟนหนังกำลังภายในยุคต้นตำรับกันบ้าง
ดาราที่ขึ้นทำเนียบหมิงซิงคลับคลาสิก (ที่เราจัดขึ้นเอง) คนนี้ คือ พระเอกที่ชาวไทยคุ้นหน้าคุ้นตากันดีสมัยหนังจีนขาวดำยุคแรกเมื่อ 30 กว่าปีก่อน หวังหยู่ (ชื่อที่เรียกติดหูคนไทย) นักวิจารณ์จีนกล่าวขานกันว่า เขาเป็นดาราที่มีใบหน้าหล่อเหลาเหมือนบัณฑิต แต่มีร่างกายกำยำน่าเกรงขามเหมือนอสูรร้าย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นกว่าดาราคนอื่นๆในรุ่นเดียวกันในบริษัท ชอว์ บราเดอร์ส
หวังหยู่ หรือ หวังอี่ว์ ( 王羽 สำเนียงจีนกลาง) เริ่มเข้าวงการครั้งแรกในสังกัดบริษัทชอว์ บราเดอร์ส เมื่อค.ศ.1963 โดยไม่มีพื้นฐานการต่อสู้ด้านหมัดๆมวยๆมาก่อน แต่กลับสร้างชื่อจากหนังจีนคลาสิกเรื่อง 《独臂刀》 หรือ เดชไอ้ด้วน ( The One- Armed Swordsman ) หนังต่อสู้เรื่องแรกที่กวาดรายได้สูงสุดถึง 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐในฮ่องกง เมื่อปีค.ศ.1967 และโด่งดังไปทั่วเอเชียที่แม้แต่แฟนหนังชาวไทย(อายุ 30 ปีขึ้นไป)ต่างก็รู้จักกันดี
จิมมี่ หวัง ได้รับการขนานนามว่า ‘ดาวฤกษ์ที่ทอแสงเปล่งประกายแห่งวงการหนังต่อสู้ของจีน’ เขาไม่ได้เป็นเพียงดาวดวงแรกของหนังกำลังภายในยุคใหม่ แต่เขายังเป็นพระเอกดาวบู๊คนแรกอีกด้วย ผลงานของเขาเกือบ 40 เรื่องบนเส้นทางบันเทิงจีนตลอด 30 ปี จึงมีอิทธิพลต่อวงการหนังแอ็คชั่นไต้หวันและฮ่องกงในยุคทศวรรษที่ 60 - 70 อย่างมาก และเขายังเป็นดาราผู้ทำให้แบบฉบับจอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรมที่ปั้นขึ้นโดยจางเช่อ หรือ จางเชอะ (张彻) ผู้กำกับคู่บุญของบริษัทชอว์ฯ กลายเป็นตำนานแห่งประวัติศาสตร์ภาพยนตร์จีน
นอกจากงานแสดงภาพยนตร์แล้ว หวังหยู่ยังมีผลงานกำกับการแสดง อำนวยการสร้างและเขียนบทภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง พระเอกหน้าหยกผู้นี้เคยตกเป็นข่าวชู้สาวอยู่หลายครั้ง ปัจจุบันเขาหายหน้าไปจากจอหนังโดยผันตัวไปเป็นนักธุรกิจผู้สร้างหนังแทน และกำลังจะมีผลงานออกมาให้ชมกัน ในภาพยนตร์ชุด 《独臂权王大破血镝子》 ( ตู๋ปี้เฉวียนหวัง ต้าพ่อเซี่ยว์ตีจื่อ )
หวังหยู่
ชื่อเดิม : หวังเจิ้งเฉวียน (王正权)
ชื่ออังกฤษ : จิมมี่
เกิดเมื่อ : 28 มีนาคม ค.ศ.1944
ภูมิลำเนาเดิม : อู๋ซี มณฑลเจียงซู อพยพไปอยู่ฮ่องกงช่วงทศวรรษที่ 60 แห่งศตวรรษที่แล้ว
ผลงานเรื่องแรก : ภาพยนตร์เรื่อง 《虎俠奸仇》( Tiger Boy 1964)
ผลงานสร้างชื่อ : 《江湖奇俠》( Temple of the Red Lotus 1966 ) ‘เดชไอ้ด้วน’ 《独臂刀》( One-Armed Swordsman 1967 )
ผลงานการกำกับ : 《断肠剑》( The Trail of the Broken Blade 1967 ) 《龙虎斗》( The Chinese Boxer 1969~1970 ควบแสดงนำ )
กีฬาโปรด : ว่ายน้ำ ขี่ม้า แข่งรถ
หวังหยู่ เคยสมรสกับดาราสาว หลินชุ่ย (林翠) มีบุตรสาวด้วยกัน 3 คน แต่ได้หย่าขาดจากกันในปีค.ศ.1975 หลังจากนั้นแต่งงานใหม่กับแอร์โฮสเตส หวังข่ายเจิน (王凱貞) ปัจจุบันทั้งสองหย่าจากกันแล้ว .
หวังอยู่" แจ้งเกิดทันทีในหนังบู๊กำลังภายในเลือดสาดเรื่องนี้ จากบทบาทของหนุ่มเจ้าอารมณ์จอมเก็บกด ที่ต้องเผชิญชะตากรรมโหดร้าย กระทั่งท้ายที่สุดพลิกชะตาตนเองมาเป็น "จอมยุทธแขนด้วน" ที่ชื่อเสียงลือลั่นสนั่นปฐพี ...
หนังดำเนินไปตามวิถีทางของหนัง "จางเชอะ" ทุกประการ คือ เต็มไปด้วยเรื่องราวเชิดชูวีรบุรุษ และน้ำมิตร ตามแบบนิยายกำลังภายในของ "โกวเล้ง",ตัวละครเอกที่เศร้าโศก และเต็มไปด้วยปมปัญหาในจิตใจ , บทบาทกระจิดริดของตัวละครหญิงในเรื่อง ที่อาจเป็นทั้งต้นตอของปัญหา หรือต้นตอแห่งชะตากรรมอันโหดร้ายของตัวละครนำชายในเรื่อง ..ที่โดดเด่นที่สุด คงหนีไม่พ้นเลือดสีแดงเข้มข้นที่เปรอะทั่วทั้งเรื่อง รวมทั้ง น้ำมิตรแบบฉบับลูกผู้ชายแท้ ๆ ของจางเชอะ ที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตลอดเรื่อง
บทไอ้ด้วน ของหวังอยู่ในเรื่อง กลายเป็นบทบาทที่ติดตัวเขาไปจนกระทั่งบัดนี้ ... หนัง "ไอ้ด้วน" ทั้งหลายแหล่ถูกสร้างตามกระแสคลั่งไคล้ไอ้ด้วน อย่างมากมาย ทั้งที่หวังอยู่เล่นเอง และเป็นคนอื่นเล่น (ที่ดังหน่อยก็คือ หลิวเจียหยง ที่เคยเล่น "ไอ้ด้วน ประทะ ไอ้ด้วน" ที่จับเขามาประทะกับ หวังอยู่ ต้นตำรับไอ้ด้วน) นอกจากนั้น หวังอยู่ ยังกลายเป็นตัวแทนสำคัญของตัวละครประเภท "จอมยุทธผู้หยิ่งทะนง"ที่ยึดถือคุณธรรมและน้ำมิตรเหนือสิ่งอื่นใด ...
จางเชอะ อาจจะได้ดิบได้ดีถึงขั้นสร้างหนังมังกรหยก ๔ ภาค นำแสดงโดย "ฟู่เซิง" และปั้นยอดคู่หูชื่อดังประดับวงการอย่าง "ตี้หลุง & เดวิด เจียง" แต่หากให้นึกถึงหนังเรื่องไหนที่เป็นสามารถบ่งบอกความเป็น "จางเชอะ"ได้มากทีั่สุด และ ผู้คนมักจะนึกถึงก่อนใครหากนึกถึงชื่อของเขา ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องนี้ ... "เดชไอ้ด้วน"
เรื่องราวของหนังมีจุดศูนย์กลางที่ "ฟางกัง"หนุ่มน้อยที่มีศักดิ์เป็นศิษย์คนสำคัญของเจ้าสำนักใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากที่พ่อของฟางกัง สละชีวิตปกป้องเจ้าสำนักไว้ เจ้าตัวจึงได้อยู่โยงยังสำนัักนี้มาตลอด กระทั่งเมื่อศิษย์ใหม่สองคนที่เข้ามาฝากตัวฝึกวิชาได้ไม่นาน รวมหัวกับคุณหนูลูกสาวเจ้าสำนักที่เดิมหมั่นไส้ตัวฟางกังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กลัุ่นแกล้งฟางกังเรื่อยมา จนกระทั่งบานปลายสู่การประลองกันด้วยดาบ ... สุดท้ายก็เป็น ฟางกัง ที่พลาดพลั้งเสียท่าให้กับ ความโมโหร้าย ของสตรีเพศ.... ลูกสาวเจ้าสำนัก ..ซึ่งทำให้เขาเสียแขนขวาไปในที่สุด ..
หลังจากนั้น ฟางกังได้รับความช่วยเหลือจากสาวรุ่นนางนึงที่กำพร้าพ่อแม่ นอกจากนางจะให้ที่พักพิงแก่เขาแล้ว นางยังค้นพบคัมภีร์เคล็ดวิชาดาบอันลึกลับ ที่พ่อของนางปกป้องด้วยชีวิต แม้คัมภีร์นั้นจะถูกเผาเหลือเพียงครึ่งเล่ม ทว่า ... กลับมีกลายเป็นสุดยอดคัมภีร์สำหรับ ฟางกัง เมื่อครึ่งเล่มที่เหลือนั้น ... เป็นเคล็ดวิชาดาบที่ใช้มือซ้ายล้วน ๆ .. มือข้างที่เหลืออยู่ของเขานั่นเอง ..
จะด้วยเหตุแห่งความบังเอิญ หรือ ฟ้าลิขิตก็หารู้ไม่ (แต่ที่แน่ ๆ เป็นเพราะบทหนังกำหนดไว้แล้ว) ฟางกัง และ เจ้าสำนักพร้อมด้วยลูกสาว จึงได้มาพบกันอีกครั้งในสถานะที่ทั้งสาม ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตของตนให้รอดจากคมดาบแสนร้ายกาจของคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดในยุทธภพ ... อันนำไปสู่จุดสิ้นสุดแห่งชะตากรรมอันโหดร้าย ที่เกี่ยวพันกันระหว่าง สามคนนี้ ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น